การปลูกเลี้ยงไม้กระถาง
มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปฏิบัติดูแลรักษาอย่างดี และสม่ำเสมอ
ทั้งนี้เพื่อให้ไม้กระถางมีอายุยืน และคงความสวยงามไว้ได้นาน ไม่ต้องเปลี่ยนกระถาง
หรือต้นไม้บ่อยครั้ง การดูแลรักษาโดยทั่วไปจึงควรคำนึงถึงความสำคัญดังต่อไปนี้
1.ไม่ควรตั้งไม้กระถางในที่ที่มีลมแรงมาก
หรือตั้งใกล้ที่มีไอร้อนมาก เช่น อยู่ใกล้เครื่องแอร์(คอนเดนเซอร์) ไม้กระถางส่วนมากไม่ชอบให้ลมพัดโกรกมาก หรืออุณหภูมิสูง
เพราะจะทำให้พืชมีการระเหยน้ำมากจนต้นไม้นั้นเหี่ยวเฉาตายได้
โดยเฉพาะการใช้ไฟส่องแสงสว่างแรงๆ และใกล้ต้นไม้เกินไป
ทำให้ต้นไม้ทนความร้อนไม่ไหวทำให้เหี่ยวเฉาตายได้ในที่สุด
2.การนำไม้กระถางไปใช้งานหรือประดับในห้องต่างๆ
ต้องคำนึงถึงช่วงเวลาการใช้งานของไม้แต่ละกลุ่มด้วย เช่น
ไม้กลางแจ้งจำพวกหมากเหลือง ไทร ไผ่ วาสนา หากนำไปใช้ประดับในร่ม หรือในอาคาร
จะมีช่วงเวลาของการใช้งาน 6-8 สัปดาห์
ก็ควรสับเปลี่ยนไม้ชุดใหม่เข้าแทน เพื่อจะได้พักฟื้นไม้ประดับชุดเก่า
3.ส่วนไม้ในร่มหรือกึ่งร่ม เช่น
โมก คล้า อะโกลนีมา เปปเปอโรเมีย ฟิโลเดนดรอน พลูด่าง เฟิร์น รวมทั้งกลุ่มไม้ดอก
เช่น กล็อกซีเนีย กล้วยไม้ แอฟริกันไวโอเลท จะอยู่ได้นานกว่า
เพราะไม้กลุ่มนี้ต้องการแสงจำกัดอยู่แล้ว อายุการใช้งานอาจจะถึง 8–10 สัปดาห์ แต่อย่างไรก็ตามอายุการใช้งานของไม้ทั้ง 2 กลุ่มนี้
ถ้ายิ่งใช้งานช่วงเวลาสั้นจะดีกว่า เพราะไม่ทำให้ต้นไม้โทรมหรือช้ำมาก
ไม้จะฟื้นตัวเร็วและคงความสวยงามได้นาน ดังนั้นสำหรับไม้ประดับในร่มแล้ว
จึงควรเตรียมไม้ประดับไว้หลายชุด เพื่อใช้สับเปลี่ยน
4.ไม้กระถางที่ใช้ประดับนอกอาคารนั้น
สำคัญที่สุดก็คือการให้น้ำสม่ำเสมอ ถ้าขาดน้ำแล้วจะเหี่ยวเฉา
จึงควรมีจานรองก้นกระถางหล่อน้ำเอาไว้ จะช่วยได้มาก
5.การดูแลทำความสะอาดใบ
ก็นับเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน เพราะใบที่สะอาดคือใบที่แข็งแรง
การล้างใบเป็นการล้างเอาฝุ่นละอองออกจากใบ นอกจากจะทำให้ใบสะอาดสวยงามแล้ว
ยังทำให้พืชสามารถปรุงอาหารได้ดีขึ้นอีกด้วย วิธีล้างใบควรใช้น้ำสบู่อ่อนๆ
จะไม่ทำให้เป็นอันตรายต่อใบ ไม่ควรใช้ผงหรือน้ำยาซักฟอกประเภทกัดรุนแรงโดยเด็ดขาด
6.ส่วนโรคที่พบอยู่เสมอได้แก่โรคโคนเน่า
มักเกิดกับพืชในระยะที่เป็นต้นกล้ายังตั้งตัวไม่ได้ แสดงอาการใบเหี่ยว
เมื่อดูที่โคนต้นระดับผิวดินจะพบรอยเน่า และต้นล้มตายในที่สุด
การป้องกันให้พยายามทำให้บริเวณโคนต้นโปร่ง มีการระบายอากาศดี มีแสงแดดส่องถึง
และรักษาผิวหน้าดินปลูกอย่าให้ชื้นแฉะเกินไป
ที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=531002
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น